โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach)

โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach)


บาค ถือกำเนิดในครอบครัวนักดนตรีที่ยึดอาชีพนักดนตรีประจำราชสำนัก ประจำเมืองและโบสถ์ในมณฑลทูรินจ์มาหลายชั่วอายุ ซึ่งก็นับได้ว่าโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค

เป็นรุ่นที่ห้าแล้ว หากจะนับกันตั้งแต่บรรพบุรุษที่บาครู้จัก นั่นคือนายเวียต บาค ผู้มีชีวิตในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในฐานะเจ้าของโรงโม่และนักดนตรีสมัครเล่นในฮังการี

ตั้งแต่บาคเกิด สมาชิกครอบครับบาคที่เล่นดนตรีมีจำนวนหลายสิบคน

ทำให้ตระกูลบาคกลายเป็นครอบครัวนักดนตรีที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก

บาคได้รับการศึกษาทางดนตรีจากบิดา คือ โยฮันน์ อัมโบรซิอุส นักไวโอลิน เมื่ออายุได้สิบปี เขาก็ต้องสูญเสียทั้งมารดาและบิดาในเวลาที่ห่างกันเพียงไม่กี่เดือน

ทำให้เขาต้องอยู่ในความอุปการะของพี่ชายคนโต โยฮันน์ คริสตอฟ บาค ผู้เป็นศิษย์ของโยฮันน์ พาเคลเบล และมีอาชีพเป็นนักเล่นออร์แกนในเมืองโอร์ดรุฟ

ในขณะที่รับการศึกษาด้านดนตรีไปด้วย โยฮันน์ เซบาสเตียนได้แสดงให้เห็นความเป็นอัจฉริยะทางดนตรี

รวมทั้งยังช่วยครอบครัวหาเงินโดยการเป็นนักร้องในวงขับร้องประสานเสียงของครอบครัว และยังชอบคัดลอกงานประพันธ์และศึกษาผลงานของนักประพันธ์อื่น ๆ

ที่เขาสามารถพบหาได้อีกด้วยเช่นกันกับทุกคนที่ชื่นชอบนักดนตรีเอกของโลกอย่าง โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค

ลืส์เนบวร์ก


ทรัพย์สินเงินทองของพี่ชายชองโยฮันน์ เซบาสเตียน มีจำกัด อีกทั้งพี่ชายยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู ราวปี พ.ศ. 2243(ค.ศ. 1700) โยฮันน์ เซบาสเตียน

ก็ได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่โรงเรียนในโบสต์ (ลา มิคาเอลิสสกูล) ที่เมืองลูนเบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางเหนือราว 200 กิโลเมตร

ซึ่งเขาต้องเดินทางด้วยเท้าไปเข้าเรียนที่นั่นพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง นอกเหนือจากการเรียนดนตรีแล้ว เขายังได้ยังได้เรียนวาทศิลป์ ตรรกศาสตร์ ภาษาละติน ภาษากรีก

และภาษาฝรั่งเศส เขายังได้ทำความรู้จักกับจอร์จ เบอห์ม นักดนตรีของ โจฮันเนส เคียร์ช และศิษย์ของ โยฮันน์ อาดัม เรนเคน นักเล่นออร์แกนคนดังของนครฮัมบูร์ก

เรนเคนนี่เองที่เป็นคนสอนเขาเกี่ยวกับรูปแบบดนตรีของเยอรมนีตอนเหนือ ที่ลือเนบวร์ก เขายังได้รู้จักกับนักดนตรีชาวฝรั่งเศสอพยพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโธมาส์ เดอ ลา เซลล์

ศิษย์ของลุลลี และด้วยการได้สัมผัสกับวัฒนธรรมทางดนตรีในอีกรูปแบบ เขาได้คัดลอกบทเพลงสำหรับออร์แกนของนิโกลาส์ เดอ กรินยี และเริ่มติดต่อทางจดหมายกับ
ฟร็องซัวส์ คูเปอแรง

บาคศึกษาและวิเคราะห์โน้ตแผ่นของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงด้วยความละเอียดรอบคอบ ความสนอกสนใจและความอยากรู้อยากเห็นของเขามีมาก

กระทั่งว่าเขายอมเดินเท้าไปหลายสิบกิโลเมตรเพื่อจะฟังการแสดงของนักดนตรีดัง เป็นต้นว่าจอร์จ โบห์ม โยฮันน์ อาดัม เรนเคน และ วินเซนต์ ลึบเบ็ค และแม้กระทั่ง ดีทริช

บุกซ์เตฮูเด้ ผู้ซึ่งโด่งดังกว่า

อาร์นชตัดท์


ในปีพ.ศ. 2246 (ค.ศ.1703) บาคได้กลายเป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองอาร์นสตัดต์ เขาเริ่มมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในฐานะนักดนตรีเอก

และนักดนตรีที่เล่นสดได้โดยไม่ต้องดูโน้ต

มึลเฮาเซ่น


ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2250(ค.ศ.1707) ถึง พ.ศ. 2251(ค.ศ.1708) เขาได้เป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองมุห์ลโฮเซน บาคได้ประพันธ์เพลงแคนตาตาบทแรกขึ้น

ซึ่งเป็นบทนำก่อนที่เขาจะเริ่มประพันธ์บทเพลงทางศาสนาอันยิ่งใหญ่อลังการ และเขายังได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับบรรเลงด้วยออร์แกนเพิ่มเติมด้วย

อันเป็นผลงานที่ยืนยันถึงความอัจฉริยะ ความลึกซึ้ง และความงามอันบริสุทธิ์ของเขา ทำให้บาคกลายเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในบรรดาบทเพลงทางศาสนาแล้ว

ตลอดชั่วชีวิตของบาค เขาได้ใช้เวลากับการประพันธ์เพลงคันตาต้า ร่วมห้าปี หรือกว่าสามร้อยชิ้น ในบรรดาบทเพลงราวห้าสิบชิ้นที่สูญหายไปนั้น

ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว

ไวมาร์

ในระหว่างปี พ.ศ. 2251 ถึง พ.ศ. 2260 บาคดำรงตำแหน่งนักเล่นออร์แกน และนักไวโอลินเดี่ยวมือหนึ่ง ประจำวิหารส่วนตัวของดยุคแห่งไวมาร์ ทำให้เขามีทั้งออร์แกน

เครื่องดนตรีและนักร้องประจำวงในครอบครอง ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ผลงานของบาคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงบรรเลงด้วยออร์แกน คันตาต้า

เพลงสำหรับฮาร์ปซิคอร์ด ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปรมาจารย์ทางดนตรีชาวอิตาเลียนทั้งหลาย

เคอเท่น


ระหว่างปี พ.ศ. 2260 (ค.ศ.1717) ถึง พ.ศ. 2266 (ค.ศ.1723) เขาได้ตำรงตำแหน่งผู้ดูแลวิหารประจำราชสำนักของเจ้าชายอานฮัลต์-เคอเธ่น

เจ้าชายเป็นนักดนตรีและนักเล่นฮาร์ปซิคอร์ด ช่วงเวลาอันแสนสุขของการเติบโตในหน้าที่การงาน ได้เป็นแรงผลักดันให้เขาประพันธ์ผลงานที่ยิ่งใหญ่มากมาย

สำหรับบรรเลงด้วย ลิวต์(Lute) ฟลู้ต ไวโอลิน(โซนาตาและบทเพลงสำหรับเดี่ยวไวโอลิน) ฮาร์ปซิคอร์ด(หนังสือ เว็ลเท็มเปอร์คลาเวียร์ เล่มที่สอง) เชลโล(สวีทสำหรับเดี่ยวเชลโล)

และบทเพลงบรันเด็นเบอร์ก คอนแชร์โต้ หกบท

ไลป์ซิก


ระหว่างปี พ.ศ. 2268(ค.ศ.1725) ถึง พ.ศ. 2293(ค.ศ.1750) หรือเป็นระยะเวลากว่า 25 ปีที่บาคพำนักอยู่ที่เมืองไลพ์ซิจ

บาคได้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยการดนตรีของโบสถ์เซนต์ โธมัส ในนิกายลูเธอรัน ต่อจากโยฮันน์ คูห์นาว เขาเป็นครูสอนดนตรีและภาษาละติน

แต่ก็ยังต้องประพันธ์เพลงจำนวนมากให้กับโบสถ์ โดยมีบทเพลงคันตาต้า (Cantata) ทุกวันอาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ ในขณะดำรงตำแหน่งนี้ เขาได้ประพันธ์คันตาต้าไว้กว่า

126 บท แต่บทเพลงดังกล่าวมักจะไม่ได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างที่ควรเนื่องจากขาดแคลนเครื่องดนตรี และนักดนตรีที่มีฝีมือ

บาคได้ใช้แนวทางเดิมในการประพันธ์บทเพลงใหม่ ๆ แต่ความเป็นอัจฉริยะ ความคิดสร้างสรรค์ และความฉลาดของเขาทำให้ผลงานทุกชิ้นมีเอกลักษณ์

และถูกนับเป็นหนึ่งในผลงานยอดเยี่ยมแห่งประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก โดยเฉพาะ "เซนต์แมทธิวแพชชั่น" "แมส ในบันไดเสียงบีไมเนอร์" "เว็ลเท็มเปอร์คลาเวียร์" "มิวสิกคัล

ออฟเฟอริ่ง" ดนตรีของบาคหลุดพ้นจากรูปแบบทั่วไป โดยที่เขาได้ใช้ความสามารถของเขาอย่างเต็มพิกัด และถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงจนถึงขีดสุดของความสมบูรณ์แบบ

มรดกทางดนตรี

เมื่อโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค ดนตรีบาโรคได้ถึงจุดสุดยอดและถึงกาลสิ้นสุดในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากการเสียชีวิตของบาค ดนตรีของเขาได้ถูกลืมไป

เนื่องด้วยเพราะมันล้าสมัยไปแล้ว เช่นเดียวกับเทคนิคการสอดประสานกันของท่วงทำนองต่างๆที่เขาพัฒนาให้มันสมบูรณ์แบบอย่างหาใดเทียมทาน

บุตรชายที่เขาได้ฝึกสอนดนตรีไว้ ไม่ว่าจะเป็นวิลเฮ็ล์ม ฟรีดมานน์ บาค คาร์ล ฟิลลิป เอ็มมานูเอ็ล บาค โยฮันน์ คริสตอฟ ฟรีดริช บาค และ โยฮันน์ คริสเตียน บาค

ได้รับถ่ายทอดพรสวรรค์บางส่วนจากบิดา และได้รับถ่ายทอดเทคนิคการเล่นจากบาค ก็ได้ทอดทิ้งแนวทางดนตรีของบิดาเพื่อไปสนใจกับแนวดนตรีที่ทันสมัยกว่าในที่สุด

เช่นเดียวกับนักดนตรีร่วมสมัยเดียวกันกับบาค (เป็นต้นว่า เกออร์ก ฟิลลิป เทเลมันน์ ผู้มีอายุแก่กว่าบาคสี่ปี ก็ได้รับอิทธิพลจากดนตรีที่ทันสมัยกว่า)

ปรากฏการณ์นิยมแนวดนตรีใหม่นี้ก็เกิดกับเช่นกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อบารอนฟาน สวีเทน

ผู้หลงใหลในดนตรีบาโรคและมีห้องสมุดส่วนตัวสะสมบทเพลงบาโรคไว้เป็นจำนวนมาก ได้ให้โมซาร์ทชมผลงานอันยิ่งใหญ่ของบาคบางส่วน

ทำให้ความมีอคติต่อดนตรีบาโรคของโมซาร์ทนั้นถูกทำลายไปสิ้น จนถึงขั้นไม่สามารถประพันธ์ดนตรีได้ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง

เมื่อเขาสามารถยอมรับมรดกทางดนตรีของบาคได้แล้ว วิธีการประพันธ์ดนตรีของเขาก็เปลี่ยนไป ราวกับว่าบาคมาเติมเต็มรูปแบบทางดนตรีให้แก่เขา

โดยที่ไม่ต้องละทิ้งรูปแบบส่วนตัวแต่อย่างใด ตัวอย่างผลงานของโมซาร์ทที่ได้รับอิทธิพลของบาคก็เช่น "เพลงสวดศพเรเควียม" "ซิมโฟนีจูปิเตอร์" ซึ่งท่อนที่สี่เป็นฟิวก์ห้าเสียง

ที่ประพันธ์ขึ้นโดยใช้เทคนิคการสอดประสานกันของท่วงทำนองต่างๆ รวมทั้งบางส่วนของอุปรากรเรื่อง"ขลุ่ยวิเศษ"

ลุดวิก ฟาน เบโทเฟนรู้จักบทเพลงสำหรับคลาวิคอร์ดของบาคเป็นอย่างดี จนสามารถบรรเลงบทเพลงส่วนใหญ่ได้ขึ้นใจ ตั้งแต่วัยเด็ก

สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ความเป็นอัจฉริยะของบาคไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชน จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 19 อันเนื่องมาจากความพยายามของเฟลิกซ์ เม็นเดลโซห์น

ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยการดนตรีที่โบสถ์เซนต์โธมัส แห่งเมืองไลพ์ซิจ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผลงานของบาคที่ยืนยงคงกระพันต่อการเปลี่ยนแปลงของรสนิยมทางดนตรี

ก็ได้กลายเป็นหลักอ้างอิงที่มิอาจหาผู้ใดเทียมทานได้ในบรรดาผลงานดนตรีตะวันตก

ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 30 ที่เมืองไลพ์ซิจ คาร์ล สโตรป ได้คิดค้นวิธีบรรเลงบทเพลงของบาคในรูปแบบใหม่ โดยการใช้เครื่องดนตรีที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

และใช้วงขับร้องประสานเสียงในแบบที่ยืดหยุ่นกว่าที่บรรเลงและขับร้องกันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เขายังได้บรรเลงบทเพลงทางทฤษฎี เป็นต้นว่า อาร์ต ออฟฟิวก์

(โดยใช้วงดุริยางค์ประกอบด้วย) ผลสัมฤทธิ์ของแนวทางใหม่นี้ได้เห็นเป็นรูปธรรมในคริสต์ทศวรรษที่ 50 โดยมีนักดนตรีอย่างกุสตาฟ

เลออนฮาร์ทและบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของเขา รวมถึงนิโคเลาส์ อาร์นองกูต์ โดยที่กุสตาฟ เลออนฮาร์ทและนิโคเลาส์

อาร์นองกูต์เป็นนักดนตรีคนแรกๆที่บันทึกเสียงบทเพลงคันตาต้าของบาคครบทุกบท

แม้ว่าดนตรีของบาคจะถูกตีความในลักษณะอื่น เช่น แจ๊ส (บรรเลงโดยฌาค ลูสิเยร์(Jaques Loussier) หรือ เวนดี คาร์ลอส) บรรเลงโดยใช้เครื่องดนตรีประเภทอื่น

หรือถูกดัดแปลงเป็นแจ๊ส มันก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้ ราวกับว่าโครงสร้างของบทเพลงที่โดดเด่นทำให้สิ่งอื่น ๆ กลายเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น

มาร์เซล ดูเปรสามารถบรรเลงบทเพลงทุกบทของบาคด้วยออร์แกนได้อย่างขึ้นใจ เช่นเดียวกับเฮลมุท วาลคา นักเล่นออร์แกนชาวเยอรมัน ผู้ที่ตาบอดตั้งแต่เกิด

แต่ก็ได้หัดเล่นเพลงของบาคโดยอาศัยการฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นักดนตรีเอกของโลก

นักดนตรีเอกของโลก โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท